ภาคการท่องเที่ยวสร้างมูลค่าเพิ่มแก่เศรษฐกิจไทยกว่าร้อยละ 17

Press ข่าวกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา 16 ก.พ 60

ปี 2559 ภาคการท่องเที่ยวสร้างมูลค่าเพิ่มแก่เศรษฐกิจไทยกว่าร้อยละ 17

“มกราคม ปี 2560 รายได้ขยายตัวกว่าร้อยละ 10”

นายพงษ์ภาณุ เศวตรุนทร์ ปลัดกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กล่าวในการแถลงข่าว สถานการณ์ท่องเที่ยวเดือนมกราคม ปี 2560 ในประเด็นสำคัญที่เกี่ยวข้องกับสรุปสถานการณ์ท่องเที่ยวปี 2559
การขับเคลื่อนเศรษฐกิจด้วยการท่องเที่ยว สถานการณ์ท่องเที่ยวปัจจุบัน และนโยบายด้านการท่องเที่ยว
ที่สำคัญ โดยมีสาระสำคัญดังนี้

สรุปสถานการณ์ท่องเที่ยวไทย ปี 2559 ภาคการท่องเที่ยวโดยภาพรวมสร้างรายได้ 2,510,779 ล้านบาท เป็นรายได้จากการท่องเที่ยวระหว่างประเทศ หรือต่างชาติเที่ยวไทย 1,641,268 ล้านบาท และรายได้จาก
การท่องเที่ยวภายในประเทศ หรือไทยเที่ยวไทย 869,510 ล้านบาท และเมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีที่ผ่านมา พบว่า รายได้รวมจากการท่องเที่ยวขยายตัวร้อยละ 11.09 โดยขยายตัวทั้งรายได้จากการท่องเที่ยวระหว่างประเทศ และรายได้จากการท่องเที่ยวภายในประเทศ ซึ่งขยายตัวร้อยละ 12.64 และ
ร้อยละ 8.27 ตามลำดับ

การขับเคลื่อนเศรษฐกิจด้วยการท่องเที่ยว จากรายได้รวมของภาคการท่องเที่ยวในปี 2559 กว่า 2.51
ล้านล้านบาท ภาคการท่องเที่ยวได้สร้างมูลค่าเพิ่มแก่เศรษฐกิจไทยหรือมีความสำคัญคิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 17.7 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) โดยภาคธุรกิจที่ได้รับประโยชน์จากการใช้จ่ายซื้อสินค้า/บริการของนักท่องเที่ยวมากที่สุด 5 อันดับแรก ประกอบด้วย ธุรกิจสถานพักแรม ประมาณ 580,000 ล้านบาท ธุรกิจอาหาร/เครื่องดื่ม ประมาณ 448,000 ล้านบาท ธุรกิจการขนส่งโดยสารทางบก ประมาณ 136,000 ล้านบาท ธุรกิจการขนส่งโดยสารทางอากาศ ประมาณ 122,000 ล้านบาท และธุรกิจบริการกีฬา/นันทนาการ ประมาณ 100,000 ล้านบาท ตามลำดับ นอกจากนี้ ธุรกิจในภาคการท่องเที่ยวส่วนใหญ่เป็นธุรกิจบริการและกระจายตัวตามภูมิภาคต่างๆ ภาคการท่องเที่ยวจึงเป็นแหล่งสร้างการจ้างงานที่สำคัญกว่า 4,230,000 คน สร้างรายได้ภาษีแก่รัฐ ประมาณ 64,200 ล้านบาท และก่อให้มูลค่าการลงทุนในประเทศอีก ประมาณ 93,600 ล้านบาท

ทั้งนี้ ภาคการท่องเที่ยวยังมีบทบาทสำคัญในการกระจายประโยชน์ทางเศรษฐกิจสู่ภูมิภาคต่างๆ โดยในปีที่ผ่านมา ภาคการท่องเที่ยวได้สร้างมูลค่าเพิ่ม (ทางตรง + ทางอ้อม) ในเขตพัฒนาการท่องเที่ยวทั้ง 8 แห่ง รวมประมาณ 407,000 ล้านบาท โดยเขตพัฒนาการท่องเที่ยวที่มีมูลค่าเพิ่มจากการท่องเที่ยวสูงสุด 2 อันดับแรกเป็นเขตพัฒนาการท่องเที่ยวทางทะเล/ชายฝั่ง คือ เขตพัฒนาการท่องเที่ยวอันดามัน และเขตพัฒนาการท่องเที่ยวฝั่งทะเลตะวันออก นอกจากนี้ เมื่อพิจารณาจากสัดส่วนมูลค่าเพิ่มจากการท่องเที่ยวต่อมูลค่าเพิ่มทั้งหมดในแต่ละพื้นที่ พบว่า เขตพัฒนาการท่องเที่ยวที่ภาคการท่องเที่ยวมีบทบาทสำคัญต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจในพื้นที่มากที่สุด 2 อันดับแรก คือ เขตพัฒนาการท่องเที่ยวอันดามันซึ่งมีสัดส่วนสูงถึงร้อยละ 43.3 และเขตพัฒนาการท่องเที่ยวอารยธรรมล้านนา ร้อยละ 10.5 ตามลำดับ

สถานการณ์ท่องเที่ยวมกราคม ปี 2560 มีนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติเดินทางมาท่องเที่ยวประเทศไทยจำนวน 3.19 ล้านคน ขยายตัวร้อยละ 6.52 จากช่วงเวลาเดียวกันของปีที่ผ่านมา ซึ่งเป็นผลจากการเพิ่มขึ้นของนักท่องเที่ยวจากเกือบทุกภูมิภาค โดยเฉพาะภูมิภาคอเมริกาและเอเชียใต้ที่ขยายตัวกว่าร้อยละ 16.87 และ 14.31 จากช่วงเวลาเดียวกันของปีที่ผ่านมา ตามลำดับ สำหรับภูมิภาคเอเชียตะวันออกและยุโรป ซึ่งเป็นตลาดนักท่องเที่ยวหลักขยายตัวเช่นเดียวกัน สำหรับนักท่องเที่ยวที่เดินทางมาประเทศไทยมากที่สุด 5 อันดับแรก ประกอบด้วย จีน มาเลเซีย เกาหลี ญี่ปุ่น และลาว ตามลำดับ ในด้านรายได้จากการท่องเที่ยวมีมูลค่าทั้งสิ้น 1.69 แสนล้านบาท ขยายตัวร้อยละ 10.26 จากช่วงเวลาเดียวกันของปีที่ผ่านมา โดยนักท่องเที่ยวที่สร้างรายได้มากที่สุด 5 อันดับแรก ประกอบด้วย จีน รัสเซีย สหรัฐอเมริกา มาเลเซีย และเกาหลี ตามลำดับนอกจากนี้ โดยภาพรวมสถานพักแรมในเดือนมกราคม ปี 2560 มีอัตราการเข้าพักเฉลี่ยร้อยละ 75.9 ขยายตัวร้อยละ 1.38 จากช่วงเวลาเดียวกันของปีที่ผ่านมา โดยได้รับปัจจัยบวกจากการท่องเที่ยวของชาวไทยที่เพิ่มขึ้นในภูมิภาคต่างๆ โดยเฉพาะภาคเหนือ และภาคตะวันออกเฉียงเหนือที่อากาศหนาวเย็น สำหรับปัจจัยลบ คือ
เหตุอุทกภัยในพื้นที่ภาคใต้ ซึ่งปัจจุบันสถานการณ์ท่องเที่ยวโดยรวมได้เข้าสู่ภาวะปกติ

สำหรับการท่องเที่ยวในช่วงเทศกาลตรุษจีนที่ผ่านมา หรือระหว่างวันที่ 27 มกราคม ถึง 2 กุมภาพันธ์ พบว่า มีนักท่องเที่ยวชาวจีนเดินทางมาท่องเที่ยวประเทศไทยจำนวน 255,154 คน และสร้างรายได้ให้แก่ประเทศกว่า 12,880 ล้านบาท ขยายตัวร้อยละ 5 เมื่อเปรียบเทียบกับเทศกาลตรุษจีนในปีที่ผ่านมา โดยกระจายตัวในแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญ เช่น กรุงเทพฯ พัทยา ภูเก็ต และเชียงใหม่ เป็นต้น

สถานการณ์ท่องเที่ยวปัจจุบัน ปี 2560 นับตั้งแต่ต้นปีจนถึงปัจจุบัน (14 ก.พ.) มีนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ
จำนวน 4.84 ล้านคน ขยายตัวร้อยละ 4.89 จากช่วงเวลาเดียวกันของปีที่ผ่านมา สร้างรายได้แก่ประเทศกว่า 2.53 แสนล้านบาท ขยายตัวร้อยละ 7.51 จากช่วงเวลาเดียวกันของปีที่ผ่านมา สำหรับแนวโน้มตลอดปี 2560 คาดว่า จะมีรายได้รวมจากการท่องเที่ยวทั้งสิ้น 2.71 ล้านล้านบาท ขยายตัวเพิ่มขึ้นประมาณร้อยละ 8

ข้อมูล : กองเศรษฐกิจการท่องเที่ยวและกีฬา

สำนักงานปลัดกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา

โทร: 02 356 0742

16 กุมภาพันธ์ 2560

แข่งขันวิ่งผลัด Ekiden ฉลองสัมพันธ์ ไทย-ญี่ปุ่นขยายฐานตลาดต่างประเทศ

Press ข่าวกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา 15 ก.พ 60

การท่องเที่ยวส่งสัญญาณบวกอย่างต่อเนื่องเดินหน้าสร้างไทยเป็นศูนย์กลางกีฬา (Sports Hub)           ในอาเซียนตามยุทธศาสตร์การท่องเที่ยวเชิงกีฬา (Sports Tourism)

สนับสนุนการ แข่งขันวิ่งผลัด Ekiden ฉลองสัมพันธ์ ไทย-ญี่ปุ่นขยายฐานตลาดต่างประเทศ

อย่างต่อเนื่อง เร่งฟื้นฟูแหล่งท่องเที่ยวที่ประสบภัยน้ำท่วม ให้เกิดการกระจายรายได้สู่ชุมชน

นางกอบกาญจน์ วัฒนวรางกูร รมว.ท่องเที่ยวและกีฬา เปิดเผยว่า จากรายงานของกรมการท่องเที่ยวพบว่ามีจำนวนนักท่องเที่ยวสะสม ตั้งแต่ 1 ม.ค.60 ถึงปัจจุบัน มีจำนวนนักท่องเที่ยวจำนวน 4.55 ล้านคน ก่อให้เกิดรายได้ 2.40 แสนล้านบาท ขยายตัวร้อยละ 3.67 และ 6.99 จากช่วงเวลาเดียวกันของปีที่ผ่านมา ทั้งนี้ นักท่องเที่ยวที่มีจำนวนสูงสุด 5 อันดับแรก ได้แก่ จีน มาเลเซีย รัสเซีย เกาหลี และญี่ปุ่น รายได้จากนักท่องเที่ยวสูงสุด 5 อันดับแรก ได้แก่ จีน รัสเซีย สหรัฐอเมริกา มาเลเซีย และเกาหลี

นางกอบกาญจน์ กล่าวว่า ได้เร่งเดินหน้าสร้างการท่องเที่ยวไทยให้เป็นศูนย์กลาง 5 อย่างในด้าน

  • การท่องเที่ยวเชิงกีฬา (Sports Tourism)
  • การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ (Medical & Wellness)
  • การจัดงานแต่งงาน (Wedding & Romance)
  • การท่องเที่ยวทางน้ำ (Maritime Tourism) และ
  • การท่องเที่ยวเชื่อมโยง (ASEAN Connect)

โดยขณะนี้มีความชัดเจนมากขึ้นว่าไทยสามารถใช้การท่องเที่ยวเชิงกีฬามาดึงดูดให้นักท่องเที่ยวเดินทางมาเล่นกีฬากันมากขึ้น และนักกีฬาต่างชาติที่มาร่วมแข่งขันอยู่ท่องเที่ยวพำนักต่อและใช้จ่ายมากขึ้น เห็นได้จากการแข่งขันวิ่งมาราธอนรายการสำคัญ เช่น เชียงใหม่มาราธอน มีผู้เข้าร่วมกว่า 11,000 คน เทียบจากปีที่แล้ว 6,200 คน เพิ่มขึ้น คิดเป็น 78 % โดยมีนักวิ่งนานาชาติที่เข้าร่วมการแข่งขันในปีนี้รวม 53 ประเทศ

ขอนแก่นมาราธอน จัดต่อเนื่องเป็นปีที่ 14 มีจำนวนผู้เข้าร่วมกิจกรรมไม่น้อยกว่า 36425 คน เพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมา 70 % ในจำนวนนี้ มีต่างชาติเข้าร่วมประมาณ 47 ชาติ จำนวน 351 คน อันดับหนึ่งเป็นญี่ปุ่น 49 คน รองลงมาเป็นจีน 40 คน สหรัฐ 22 คน และมี ทูตจาก 5 ประเทศ มาร่วมงาน เอกอัครราชทูต สวีเดน, ออสเตรีย, นิวซีแลนด์ และไอร์แลนด์ ร่วมวิ่ง Half Marathon และ อัครทูตอิสราเอล วิ่งมินิมาราธอน และล่าสุดกรุงเทพมาราธอน ซึ่งมีคนร่วมแข่งขันกว่า 37,000 คน และมีต่างชาติเข้าร่วม ประมาณ 3,000 คน จาก 60 ประเทศ

เราวางกลยุทธ์สร้างไทยเป็นศูนย์กลางด้านกีฬา (Sports Hub) โดยเน้นการจัดแข่งขันกีฬา Mega Event, World & International Games, Local Event นอกจากนี้นักท่องเที่ยวที่สนใจการออกกำลังกายสามารถมาร่วมกิจกรรมกีฬาได้ตลอดทั้งปี เช่น ปั่นจักรยานท่องเที่ยวตามภูมิภาคต่างๆ ของไทยอีกทั้งได้ส่งเสริมให้มีสถานที่เก็บตัวฝึกซ้อมกีฬาหลากหลายประเภทเพื่อเป็น Regional Hub ในอาเซียน เพื่อสร้างให้ไทยเป็น Sports Dream Destination

รมว.ท่องเที่ยว เปิดเผยว่า ได้ทำงานร่วมกันทั้งการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยและการกีฬาแห่งประเทศไทย     เพื่อประชาสัมพันธ์ การท่องเที่ยวเชิงกีฬา (Sports Tourism) ในงานส่งเสริมการท่องเที่ยวใหญ่ที่สุดในโลกที่เบอร์ลิน เยอรมันนี (ITB Berlin 2017) ซึ่งจะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 8-12 มีนาคมนี้ นอกจากนี้ ได้เดินทางไปขยายฐานตลาดต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง ล่าสุดเมื่อวันที่ 8-9 กุมภาพันธ์ เดินไปยังสาธารณรัฐอิหร่าน เพื่อนำเสนอการท่องเที่ยวไทย   ในงานส่งเสริมการท่องเที่ยวที่ใหญ่ที่สุดในตะวันออกกลาง และได้หารือกับรองอธิบดีกรมการท่องเที่ยวของอิหร่าน     เพื่อเตรียมลงนามความร่วมมือด้านท่องเที่ยวและกีฬาโดยไทยเตรียมนำเสนอความพร้อมของสถานที่เล่นกีฬาและการ เก็บตัวฝึกซ้อมนักกีฬา โดยเฉพาะนักกีฬาหญิงจากอิหร่านต่อไป

ปัจจุบันมีชาวอิหร่านมาเที่ยวไทยกว่า 120,000 คน ขยายตัว 33 % และเมื่อปลายปี 2559 ที่ผ่านมาการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ได้เชิญเซเลบริตี้ 6 คน นำโดย บาห์ราม ราดาน นักแสดงชายที่มีชื่อเสียงที่สุดในอิหร่านเจ้าของฉายาแบรด พิตต์ แห่งอิหร่าน มาเที่ยวเชียงใหม่ เชียงรายและกรุงเทพ จัดทำวีดีโอแพร่ภาพไปในอิหร่านคาดว่าจะมีผลทำให้นักท่องเที่ยวอิหร่านตามรอยดาราดังมากขึ้นปีนี้ตั้งเป้าตลาดอิหร่านเติบโต 10-15% และได้มีความเป็นไปได้ในการเปิดเที่ยวบินใหม่ของสายการบินมะหานแอร์ จากเตหะราน มายังภูเก็ต สัปดาห์ละ 2 เที่ยวบิน เริ่มเดือนมีนาคมนี้

นางกอบกาญจน์ กล่าวต่อไปว่า เพื่อเป็นการกระตุ้นการท่องเที่ยวและกีฬาอย่างต่อเนื่องกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ร่วมกับสำนักพิมพ์ Mainichi และสถานีโทรทัศน์ RKB แห่งประเทศญี่ปุ่น ร่วมกับธนาคารกรุงศรีอยุธยา จัดกิจกรรมระดับ International Games การแข่งขันวิ่งผลัด “อยุธยา คิซูน่า เอกิเดง 2017” (AYUTTHAYA KIZUNA EKIDEN 2017) ซึ่งมีต้นกำเนิดมาจากประเทศญี่ปุ่น เพื่อเฉลิมฉลองในวาระครบรอบ 130 ปีความสัมพันธ์อันดีระหว่างประเทศไทยและประเทศญี่ปุ่น โดยจะจัดขึ้นในวันอาทิตย์ที่ 12 มีนาคม   ศกนี้ ณ อุทยานประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา

นางกอบกาญจน์ กล่าวทิ้งท้ายว่า “ขณะนี้บทบาทของกระทรวงการท่องเที่ยวมีหน้าที่ในการส่งเสริมให้เกิดการท่องเที่ยวกระจายรายได้ และให้ความสำคัญอย่างมากต่อการดูแลและเยียวยาวแหล่งชุมชนและแหล่งท่องเที่ยวที่ประสบอุทกภัยเมื่อช่วงต้นปีที่ผ่านมา โดยผลจากการที่ลงไป จ.ชุมพร เมื่อวันอาทิตย์พร้อมกับนักท่องเที่ยวฝรั่งเศส และเยอรมัน เพื่อไปร่วมล่องแพ ในงานงานเทศกาลล่องแพพะโต๊ะเชิงอนุรักษ์ ซึ่งเป็นแพที่ชาวบ้านหลายครัวเรือนนำมาให้บริการนักท่องเที่ยวที่ไปด้วยกันได้ลิ้มลองอาหารพื้นเมือง สัมผัสวิถีชีวิตของชาวอำเภอพะโต๊ะ (Local Exerience) นอกจานี้ ยังมีนักท่องเที่ยวชาวไทยที่เดินทางมาจากจังหวัดอื่นๆ เที่ยวข้ามภาคมาร่วมงานจำนวนมากช่วยให้เกิดการกระจายรายได้ในชุมชน”

 

มอบรางวัลสุดยอดเส้นทางการท่องเที่ยว เชื่อมั่นรองรับนักท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน

Press ข่าวกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา 1 ก.พ 60

รมว.กอบกาญจน์ วัฒนวรางกูร พร้อมด้วย ปลัดฯ พงษ์ภาณุ

มอบรางวัลสุดยอดเส้นทางการท่องเที่ยว เชื่อมั่นรองรับนักท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน

นางกอบกาญจน์ วัฒนวรางกูร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เป็นประธานในพิธีมอบรางวัล “สุดยอดเส้นทางการท่องเที่ยวของประเทศ ประจำปี 2559” พร้อมด้วย นายพงษ์ภาณุ เศวตรุนทร์ ปลัดกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ร่วมงานออเมื่อวันพุธที่ 1 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560 ณ โรงแรมตวันนา ทั้งนี้ กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ได้ดำเนินการโครงการสุดยอดเส้นทางการท่องเที่ยวของประเทศ ซึ่ง 5 เขตพัฒนาการท่องเที่ยว ได้แก่ เขตพัฒนาการท่องเที่ยวอารยธรรมล้านนา (เชียงใหม่ เชียงราย ลำพูน ลำปาง พะเยา)  เขตพัฒนาการท่องเที่ยวอันดามัน (ภูเก็ต กระบี่ พังงา ตรัง สตูล) เขตพัฒนาการท่องเที่ยวฝั่งทะเลตะวันตก (เพชรบุรี ประจวบคีรีขันธ์ ชุมพร ระนอง) เขตพัฒนาการท่องเที่ยวฝั่งทะเลตะวันออก (ชลบุรี ระยอง จันทบุรี ตราด) และเขตพัฒนาการท่องเที่ยวอารยธรรมอีสานใต้ (นครราชสีมา บุรีรัมย์ สุรินทร์ ศรีสะเกษ อุบลราชธานี) ร่วมกันพิจารณาคัดเลือกเส้นทางการท่องเที่ยวที่มีศักยภาพ และมีจุดแข็งที่จะสามารถพัฒนาไปสู่การเป็นสุดยอดเส้นทางการท่องเที่ยวของประเทศ

รางวัล “สุดยอดเส้นทางการท่องเที่ยวของประเทศ” จะเป็นจุดเริ่มต้นในการพัฒนาส่งเสริมเส้นทางการท่องเที่ยวให้เกิดทางเลือกใหม่แก่นักท่องเที่ยว โดยเป็นการร่วมคิด ร่วมเสนอ ร่วมพัฒนา จากความร่วมมือของภาคีเครือข่ายในเขตพัฒนาการท่องเที่ยว ทั้งภาครัฐ เอกชน และชุมชน ซึ่งจะส่งผลให้เกิด 1) เส้นทางท่องเที่ยวที่จะจูงใจให้นักท่องเที่ยวเดินทางมากขึ้น พำนักเพิ่มขึ้น ใช้จ่ายมากขึ้น รวมถึงเกิดการกระจายตัวของนักท่องเที่ยว กระจายรายได้สู่ชุมชน กระจายตลาดตลอดทั้งปี 2) ทุกภาคส่วนมีส่วนร่วมในการพัฒนาตั้งแต่การพัฒนายกระดับมาตรฐานแหล่งท่องเที่ยว สิ่งอำนวยความสะดวก คุณภาพของสินค้า การเป็นเจ้าบ้านที่ดี รวมทั้งการส่งเสริมด้านการตลาด และการดูแลรักษาความปลอดภัยนักท่องเที่ยว และ 3) สร้างกิจกรรมการท่องเที่ยวจะช่วยสร้างมูลค่าเพิ่ม ให้กับสินค้าและบริการของชุมชนในเขตพื้นที่ ตอบสนองนโยบายรัฐบาลในการส่งเสริมการท่องเที่ยว โดยชุมชนต่อไป

ทางด้าน นายพงษ์ภาณุ เศวตรุนทร์ ปลัดกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กล่าวว่า “คณะทำงานพิจารณาคัดเลือกสุดยอดเส้นทางการท่องเที่ยวของประเทศ ได้พิจารณากลั่นกรองเส้นทางท่องเที่ยว 17 เส้นทางที่แต่ละเขตพัฒนาการท่องเที่ยวนำเสนอ โดยการลงสำรวจพื้นที่เส้นทางการท่องเที่ยวอันเป็นการทำงานร่วมกันระหว่างหน่วยงานต่าง ๆ ทั้งภาครัฐและภาคเอกชน พบว่าแต่ละเส้นทางมีความสวยงาม โดดเด่น สามารถสร้างรายได้แก่ชุมชน และมีความพร้อมในการรองรับนักท่องเที่ยวที่แตกต่างกัน ซึ่งจากการพิจารณาความเหมาะสม ในมิติต่าง ๆ จึงนำมาสู่การมอบรางวัล “สุดยอดเส้นทางการท่องเที่ยวของประเทศ” ซึ่งจะเป็นรางวัลที่สามารถพัฒนาไปสู่ความสุดยอดเส้นทางท่องเที่ยว”

รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา นางกอบกาญจน์ วัฒนวรางกูร กล่าวทิ้งท้ายอีกว่า     “ในอนาคตต่อจากนี้ จะต้องมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่องจากภาครัฐและภาคเอกชนในลักษณะของประชารัฐ รัฐบาลโดยคณะกรรมการนโยบายการท่องเที่ยวแห่งชาติ จะสนับสนุนส่งเสริมในด้านนโยบาย กิจกรรมส่งเสริมการตลาด การพัฒนาทางด้านความพร้อมของสาธารณูปโภคและการบริการพื้นฐานที่จำเป็น รวมถึงพัฒนาบุคลากรที่มีความรู้ความเข้าใจในการบริการในพื้นที่เพื่อยกระดับมาตรฐานการท่องเที่ยวให้สูงขึ้น และภาคเอกชนและชุมชนจะเป็นกลไกสำคัญในการเข้ามา ขับเคลื่อนทำให้เส้นทางต่าง ๆ เหล่านี้ ให้มีพัฒนาการทางการตลาดและเกิดมูลค่าทางเศรษฐกิจ ซึ่งสามารถดำเนินการได้ทั้งในการนำเส้นทางการท่องเที่ยวนี้ไปบรรจุเป็นส่วนหนึ่งของโปรแกรมการท่องเที่ยว หรือการเป็น ที่ปรึกษาให้คำแนะนำแก่ชุมชน และแหล่งท่องเที่ยวในการพัฒนาปรับปรุงคุณภาพและความพร้อมในด้านต่างๆ เพื่อให้สามารถรองรับนักท่องเที่ยวได้อย่างมี ความยั่งยืน ซึ่งวันนี้ถือว่าเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีที่มีภาคเอกชนด้านการท่องเที่ยวที่ ให้ความสนใจสนับสนุนการนำเส้นทางการท่องเที่ยวทั้ง 7 เส้นทางไปบรรจุเป็นส่วนหนึ่งของโปรแกรมการท่องเที่ยว ซึ่งการมอบรางวัลในครั้งนี้ จะเป็นการจุดประกายให้กับพื้นที่เกิดกำลังใจในการร่วมกันสร้างสุดยอดเส้นทางการท่องเที่ยวต่อไป อันจะทำให้เขตพัฒนาการท่องเที่ยวมีกระบวนการบริหารจัดการพื้นที่ที่รองรับการท่องเที่ยวและก่อให้เกิดการกระจายรายได้ทางเศรษฐกิจแก่ชุมชนได้อย่างยั่งยืน และเกิด “สุดยอดเส้นทางการท่องเที่ยวของประเทศ” ได้อย่างแท้จริง

ผลรางวัล “สุดยอดเส้นทางการท่องเที่ยวของประเทศ ประจำปี พ.ศ. 2559” มีจำนวนทั้งสิ้น 7 เส้นทางท่องเที่ยว (จาก 17 เส้นทางท่องเที่ยว) ซึ่งแบ่งเป็นประเภทต่าง ๆ 3 ประเภท โดยสามารถสรุปรางวัลได้ดังนี้

ประเภทรางวัล เส้นทางท่องเที่ยว เขตพัฒนาการท่องเที่ยว
รางวัลประเภท

“เส้นทางท่องเที่ยวทางธรรมชาติ”

เส้นทาง “ถนนสายการเรียนรู้ ดูโลกทะเลโคลน เยี่ยมชมโครงการในพระราชดำริ”

(เพชรบุรี)

เขตพัฒนาการท่องเที่ยวฝั่งทะเลตะวันตก

(เพชรบุรี ประจวบคีรีขันธ์ ชุมพร ระนอง)

เส้นทาง “สันหลังมังกร มหัศจรรย์

สันทราย แห่งท้องทะเลอันดามัน”

(ตรัง สตูล)

เขตพัฒนาการท่องเที่ยวอันดามัน

(ภูเก็ต กระบี่ พังงา ตรัง สตูล)

เส้นทาง “อาบน้ำแร่ แช่น้ำใส”

(ระนอง)

เขตพัฒนาการท่องเที่ยวฝั่งทะเลตะวันตก

(เพชรบุรี ประจวบคีรีขันธ์ ชุมพร ระนอง)

รางวัลประเภท

“เส้นทางท่องเที่ยวโดยชุมชน”

เส้นทาง “เส้นทาง D.I.Y (Do It Yourself)

กับชุมชน”

(จันทบุรี ตราด)

เขตพัฒนาการท่องเที่ยวฝั่งทะเลตะวันออก

(ชลบุรี ระยอง จันทบุรี ตราด)

เส้นทาง “วิถีชุมชน วัฒนธรรมอันดามัน”

(กระบี่)

เขตพัฒนาการท่องเที่ยวอันดามัน

(ภูเก็ต กระบี่ พังงา ตรัง สตูล)

รางวัลประเภท

“เส้นทางท่องเที่ยวด้านศิลปวัฒนธรรม”

เส้นทาง “หัตถกรรม หัตถศิลป์

ถิ่นล้านนา”

(เชียงใหม่ ลำพูน ลำปาง)

เขตพัฒนาการท่องเที่ยว

อารยธรรมล้านนา

(เชียงใหม่ เชียงราย ลำพูน ลำปาง พะเยา)

เส้นทาง “อีสานใต้แซ่บนัว…

ทัวร์ความหลากหลาย”

(ศรีสะเกษ อุบลราชธานี)

เขตพัฒนาการท่องเที่ยว

อารยธรรมอีสานใต้

(นครราชสีมา บุรีรัมย์ สุรินทร์

ศรีสะเกษ อุบลราชธานี)

 

หมายเหตุ : ขอข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ 02-283-1566 (กลุ่มขับเคลื่อน สำนักเศรษฐกิจ)